~~ด้วยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 โดยในช่วง 2555-2559 พบการรายงานผู้ป่วยกระจายทุกภาคของประเทศ และผู้ป่วยยืนยันเฉลี่ยปีละ 5 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจยังต่างประเทศ แต่ขณะนี้ประเทศไทยสามารถตรวจตัวอย่างเชื้อเองได้แล้ว และในปี 2559 นี้ ในช่วงต้นปี มีรายงานผู้ป่วยใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถควบคุมโรคได้ในเวลาที่เหมาะสม จนถึงในช่วงเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่ขึ้น ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ จันทบุรี เพชรบูรณ์ และ บึงกาฬ ซึ่งโรคติดเชื้อไวรัสซิกา มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika) ซึ่งเป็นโรคที่มียุงลาย ที่มีเชื้อไวรัสซิกาเป็นพาหะ
ลักษณะอาการ
อาการของการติดเชื้อไวรัสซิกา ได้แก่ ผื่นขึ้นที่ผิวหนัง มีไข้ ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ และอาการวิงเวียนทั่วไป อาการเหล่านี้มักจะไม่รุนแรงและเป็นอยู่ไม่กี่วัน โดยหลักๆ แล้วไวรัสซิกาจะถูกส่งผ่านไปยังมนุษย์โดยผ่านการกัดของยุงลาย(Aedes) ที่ติดเชื้อยุงไข้เหลือง (Aedes aegypti ) ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์นำโรคหลักสำหรับการส่งผ่านไวรัสซิกาไปยังมนุษย์ ยุงลายชนิดอื่น เช่น ยุงลายสวน (Aedes albopictus ) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในประเทศก็อาจเป็นพาหะนำโรคด้วยเช่นกัน
ระยะฟักตัว
อาการมักจะเริ่มขึ้น 2-7 วันหลัง จากที่ถูกกัดโดยยุงที่ติดเชื้อ
การรักษา
ผู้ป่วยโรคไข้ซิกา ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง จึงสามารถรักษาตัวได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ หรือยาบรรเทาอาการปวด แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอล ห้ามรับประทานยาแอสไพริน หรือยากลุ่มลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพราะมียาบางชนิดที่เป็นอันตราย สำหรับการเป็นโรคนี้ อาจทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรปรึกษา และทำตามคำแนะนำของแพทย์
การป้องกัน
ควรป้องกันตัวเองจากการถูกยุงกัด ช่วยกันป้องกันการแพร่กระจายของยุง และการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยได้มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ครอบคลุมการดำเนินงาน 4 ด้านดังนี้
1. การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา คือกระบวนการติดตามสังเกต และพิจารณาอย่างมีระบบ และต่อเนื่องในลักษณะการเกิด และการกระจาย ของ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตลอดจนปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อการเปลี่ยนแปลง การเกิด และ การกระจาย ของโรคภัย ไข้เจ็บเหล่านั้นด้วย โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อให้ทราบถึงการ เปลี่ยนแปลงแนวโน้ม และการกระจายของปัญหาสาธารณสุข ซึ่งจะนำไปสู่การดาเนินการควบคุมป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
2. การเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา คือ การเฝ้าระวังพาหนะนำโรคที่เป็นปัจจัยที่สำคัญนำเชื้อโรคร้ายไปสู่คนและทำให้เกิดการระบาดของโรค การที่มีข้อมูลทางกีฏวิทยาพาหะนำโรคต่าง ๆ สามารถที่จะชี้แนะแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคได้ เนื่องจากการควบคุมโรคที่ดี จำเป็นต้องมีการควบคุมและทำลายพาหะนำโรคของแต่ละโรคนั้นไป เพื่อป้องกันควบคุมการระบาดของโรคที่เกิดขึ้นในพื้นที่
3. การเฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีความพิการแต่กำเนิด
4. การเฝ้าระวังกลุ่มอาการทางระบบประสาท
องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทอม จึงขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันป้องกันแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอันเป็นพาหะนำโรคไข้ซิกา โดยการ
1. ปิดปากภาชนะเก็บน้ำด้วยผ้า ตาข่ายไนล่อน อะลูมิเนียม หรือวัสดุอื่นที่สามารถปิดปากภาชนะเก็บน้ำนั้นได้อย่างมิดชิด จนยุงไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้
2. หมั่นเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน ซึ่งเหมาะสำหรับภาชนะเล็กๆ ที่มีน้ำไม่มากนัก เช่น แจกันดอกไม้สด ทั้งที่เป็นแจกันที่หิ้งบูชาพระ แจกันที่ศาลพระภูมิ หรือแจกันประดับตามโต๊ะ รวมทั้งภาชนะและขวดประเภทต่างๆที่ใช้เลี้ยงต้นไม้น้ำ ฯลฯ
3. ใส่ทรายในจานรองกระถางต้นไม้ ใส่ให้ลึกประมาณ 3 ใน 4 ของความลึกของจานกระถางต้นไม้นั้น เพื่อให้ทรายดูดซึมน้ำส่วนเกินจากการรดน้ำต้นไม้ไว้ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับกระถางต้นไม้ที่ใหญ่และหนัก ส่วนต้นไม้เล็กอาจใช้วิธีเทน้ำที่ขังอยู่ในจานรองกระถางต้นไม้ทิ้งไปทุก 7 วัน
4. การเก็บทำลายเศษวัสดุ เช่น ขวด ไห กระป๋อง ฯลฯ และยางรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้ หรือคลุมให้มิดชิดเพื่อไม่ให้รองรับน้ำได้
5. ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในบ้านเรือน อาทิ บริเวณที่ปลูกต้นไม้ หากมีต้นไม้เยอะๆ ก็ทำให้มียุงเยอะ เพราะยุงจะชอบเกาะพักอยู่ในที่มืดๆ อับๆ ควรแก้ไขให้ดูโปร่งตาขึ้น ถ้าเป็นต้นไม้ประดับในบริเวณบ้าน ก็ต้องคอยสังเกตว่ารดน้ำมากไปจนมีน้ำขังอยู่ในจานรองกระถางหรือเปล่า พยายามเทน้ำทิ้งบ่อยๆ
ด้วยความปรารถนาดีจากองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค